33 ปีที่ลูกแมวน้อยๆ หายไป
ลูก รัก แม้จะดึกดื่นมากแล้ว แม่ก็ยังข่มตาให้หลับไม่ลง คืนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ทั้งลูกทั้งหลานเหลน ต่างก็มานอนระเกะระกะอยู่รอบๆ ตัวแม่ เห็นแล้วก็อบอุ่นทีเดียว โดยเฉพาะเจ้าตัวน้อยๆ ที่นอนฟังเรื่องราวต่างๆ นัยน์ตาแป๋วมาตั้งแต่หัวค่ำ แต่แล้วก็ผล็อยหลับไปก่อน แทนที่จะมานอนเป็นเพื่อนย่ายาย ก็กลายเป็นมาหลับเป็นเพื่อนซะมากกว่า
เราทั้งหยอกล้อและคุยกันด้วย สารพัดเรื่อง ย้อนรอยไปตั้งแต่ลูกๆ ยังเป็นเด็กและเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น แต่ในที่สุด ทั้งลูกทั้งหลานต่างก็หลับไปก่อน สามคนหนุนตักแม่ อีกสี่ห้าหนุ่มสาว นอนสลับหัวหางกันอยู่ในห้องรับแขกนั่นเอง
แม่เฝ้า มองลูกๆ หลานๆ แต่ละคนแล้วก็ใจหาย อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หรือ 33 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ลูกๆ กำลังเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นและเพิ่งจะเข้าเรียนในช่วงมัธยมปลาย
นาน มาแล้วที่เคยรู้สึกว่าเป็นแม่ที่โชคดี เพราะเผอิญไม่มีลูกคนใดคนหนึ่งตกอยู่ในชะตากรรมโหดร้ายของนิสิตนักศึกษาใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีสภาพเหมือนกับปิดประตูตีลูกแมว ไม่ให้มีหนทางหลุดรอดออกไปได้แม้แต่ตัวเดียว
การปิดประตูตีลูกแมวใน วันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีสภาพเช่นเดียวกับการทำสงครามขนาดย่อม แม่ยังจำได้ ขณะที่ฝ่ายซึ่งรายล้อมอยู่รอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีอาวุธสงครามครบมือ ทั้งจรวดทำลายรถถังและปืนกลเอ็ม 16 ปืนสั้นยาวอีกหลายสิบกระบอกที่ขนมารบรากับลูกแมวน้อยๆ นักศึกษาที่มีแต่มือเปล่า ซึ่งต่างก็มีอาการตัวสั่นงันงก และบ้างก็วิ่งพล่านอยู่ภายในมหาวิทยาลัยอย่างไม่รู้ชะตากรรม
แต่แล้ว ภาพของความตายอันโหดร้ายทารุณก็เกิดขึ้น ศพนักศึกษานับสิบนับร้อยคนถูกสังหารอย่างทารุณอยู่บนสนามหลวงและภายในอาคาร เรียนต่างๆของมหาวิทยาลัย ด้วยข้อหาที่ได้รับการปลุกปั่นจากบุคคลที่เรียกว่า "ประชาชนผู้รักชาติและรักสถาบัน" ร่วมกับ "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ซึ่งนำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารว่า นักศึกษาเหล่านี้สะสมอาวุธสงคราม และนักศึกษาบางส่วนเป็นคนเวียดนาม
"กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" เหล่านี้ใช้เวลาปลุกปั่นใส่ร้ายนักศึกษาที่มีอุดมการณ์อันบริสุทธิ์ล่วงหน้า มาเป็นเดือนๆ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นคนญวน แต่หลังการไล่ล่าสังหารเด็กเล็กจบลง เพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร ก็พบว่า สิ่งที่ใส่ร้ายลูกแมวน้อยๆ ทุกข้อกล่าวหานั้นล้วนแต่ไม่เป็นความจริง เพราะไม่พบอาวุธใดๆ ไม่มีคอมมิวนิสต์ และไม่มีคนญวน มีแต่ลูกหลานคนที่มีพ่อมีแม่เป็นคนไทยแท้ๆ แสดงว่า ที่ตายก็ตายไปฟรีๆ ที่ยังรอดอยู่ก็หนีเตลิดเปิดเปิงเข้าป่าไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทย
ที่น่าสลดใจก็คือ นักศึกษาที่หนีรอดกลับออกมาได้ส่วนหนึ่งกลายเป็นรัฐมนตรี,นักการเมือง, นักวิชาการ, อาจารย์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนหนึ่งในกลุ่มนี้กลายเป็นนักปลุกระดมใส่ร้ายเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเอง โดยอ้างว่ารักชาติรักสถาบันอย่างบ้าคลั่ง เช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยถูกกล่าวหาด้วยข้อหาเดียวกันเมื่อ 33 ปีที่แล้ว
และ ที่กลับตาลปัตรเหมือนหน้ามือเป็นหลังเท้าก็คือ นักเคลื่อนไหวที่อ้างว่ารักชาติรักสถาบันมากกว่าใคร กลับเรียกร้องให้ทำลายรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยและช่วยสนับสนุนการทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ นำประเทศกลับไปสู่ระบอบเผด็จการทหารอันเก่าแก่โบร่ำโบราณ ดังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
เพราะคนเหล่านี้ สมัยที่ยังเป็นลูกแมวน้อยๆ ที่บริสุทธิ์และรักความเป็นธรรม ต่างต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย
มาถึงวันนี้ กลับมาปลุกปั่นเอาความรักชาติรักสถาบันอย่างบ้าคลั่งมาเป็นเครื่องมือผลักดันตัวเองขึ้นสู่เวทีอำนาจ
คุณ น้านิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนเล่าเอาไว้ตอนหนึ่ง (มติชนสุดสัปดาห์ 2-8 ตุลาคม 2552) ที่ตรงกับใจแม่ จนอยากจะไปกราบแกสักคราว่า ...เมื่อนักการเมืองจนแต้ม ไม่รู้จะประคองตัวให้อยู่ในอำนาจต่อไปได้อย่างไร เขามักจะปลุกกระแสชาตินิยม ...ใช่แต่ชาตินิยมจะมอบสาวกให้จำนวนมากเท่านั้น ยังมักไม่ค่อยมีใครกล้าขัดขวางเสียด้วย เพราะเกรงจะถูกมองว่าไม่รักชาติ อันเป็นบาปอย่างหนักของรัฐประชาชาติ ชาตินิยมจึงเป็นบันไดเลื่อนสำหรับผู้แสวงหาอำนาจทางการเมืองเสมอ..
...แต่ ชาตินิยมนั้นนอกจากทำให้สติปัญญาแคบลงแล้ว ยังทำให้ทางเลือกเชิงนโยบายแคบลงด้วย หรือเพราะสติปัญญาแคบลง จึงทำให้ทางเลือกเชิงนโยบายแคบลงตามไปด้วยก็ตาม จึงมักนำชาติไปสู่จุดอับจนที่หาทางออกไม่เจออยู่เสมอ...
สำหรับแม่ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 33 ปีก่อน แล้วกลับเจ็บปวดกว่าเดิมที่ลูกแมวน้อยๆ ที่เคยวิ่งพล่านหนีตายอยู่ในธรรมศาสตร์ วันนี้กลับกลายเป็นเสือชราผู้คลั่งชาติ และต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อรักษารัฐธรรมนูญเผด็จการที่ไม่เห็นหัวคนระดับล่างของคนอย่างแม่ และพี่ๆ น้องๆ อีกหลายสิบล้านคนที่อยู่ตามบ้านนอกคอกนา ลูกว่าเราควรจะทำอย่างไรกับคนเทือกนี้ดี?
เราทั้งหยอกล้อและคุยกันด้วย สารพัดเรื่อง ย้อนรอยไปตั้งแต่ลูกๆ ยังเป็นเด็กและเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น แต่ในที่สุด ทั้งลูกทั้งหลานต่างก็หลับไปก่อน สามคนหนุนตักแม่ อีกสี่ห้าหนุ่มสาว นอนสลับหัวหางกันอยู่ในห้องรับแขกนั่นเอง
แม่เฝ้า มองลูกๆ หลานๆ แต่ละคนแล้วก็ใจหาย อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หรือ 33 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ลูกๆ กำลังเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นและเพิ่งจะเข้าเรียนในช่วงมัธยมปลาย
นาน มาแล้วที่เคยรู้สึกว่าเป็นแม่ที่โชคดี เพราะเผอิญไม่มีลูกคนใดคนหนึ่งตกอยู่ในชะตากรรมโหดร้ายของนิสิตนักศึกษาใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีสภาพเหมือนกับปิดประตูตีลูกแมว ไม่ให้มีหนทางหลุดรอดออกไปได้แม้แต่ตัวเดียว
การปิดประตูตีลูกแมวใน วันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีสภาพเช่นเดียวกับการทำสงครามขนาดย่อม แม่ยังจำได้ ขณะที่ฝ่ายซึ่งรายล้อมอยู่รอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีอาวุธสงครามครบมือ ทั้งจรวดทำลายรถถังและปืนกลเอ็ม 16 ปืนสั้นยาวอีกหลายสิบกระบอกที่ขนมารบรากับลูกแมวน้อยๆ นักศึกษาที่มีแต่มือเปล่า ซึ่งต่างก็มีอาการตัวสั่นงันงก และบ้างก็วิ่งพล่านอยู่ภายในมหาวิทยาลัยอย่างไม่รู้ชะตากรรม
แต่แล้ว ภาพของความตายอันโหดร้ายทารุณก็เกิดขึ้น ศพนักศึกษานับสิบนับร้อยคนถูกสังหารอย่างทารุณอยู่บนสนามหลวงและภายในอาคาร เรียนต่างๆของมหาวิทยาลัย ด้วยข้อหาที่ได้รับการปลุกปั่นจากบุคคลที่เรียกว่า "ประชาชนผู้รักชาติและรักสถาบัน" ร่วมกับ "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ซึ่งนำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารว่า นักศึกษาเหล่านี้สะสมอาวุธสงคราม และนักศึกษาบางส่วนเป็นคนเวียดนาม
"กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" เหล่านี้ใช้เวลาปลุกปั่นใส่ร้ายนักศึกษาที่มีอุดมการณ์อันบริสุทธิ์ล่วงหน้า มาเป็นเดือนๆ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นคนญวน แต่หลังการไล่ล่าสังหารเด็กเล็กจบลง เพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร ก็พบว่า สิ่งที่ใส่ร้ายลูกแมวน้อยๆ ทุกข้อกล่าวหานั้นล้วนแต่ไม่เป็นความจริง เพราะไม่พบอาวุธใดๆ ไม่มีคอมมิวนิสต์ และไม่มีคนญวน มีแต่ลูกหลานคนที่มีพ่อมีแม่เป็นคนไทยแท้ๆ แสดงว่า ที่ตายก็ตายไปฟรีๆ ที่ยังรอดอยู่ก็หนีเตลิดเปิดเปิงเข้าป่าไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทย
ที่น่าสลดใจก็คือ นักศึกษาที่หนีรอดกลับออกมาได้ส่วนหนึ่งกลายเป็นรัฐมนตรี,นักการเมือง, นักวิชาการ, อาจารย์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนหนึ่งในกลุ่มนี้กลายเป็นนักปลุกระดมใส่ร้ายเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเอง โดยอ้างว่ารักชาติรักสถาบันอย่างบ้าคลั่ง เช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยถูกกล่าวหาด้วยข้อหาเดียวกันเมื่อ 33 ปีที่แล้ว
และ ที่กลับตาลปัตรเหมือนหน้ามือเป็นหลังเท้าก็คือ นักเคลื่อนไหวที่อ้างว่ารักชาติรักสถาบันมากกว่าใคร กลับเรียกร้องให้ทำลายรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยและช่วยสนับสนุนการทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ นำประเทศกลับไปสู่ระบอบเผด็จการทหารอันเก่าแก่โบร่ำโบราณ ดังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
เพราะคนเหล่านี้ สมัยที่ยังเป็นลูกแมวน้อยๆ ที่บริสุทธิ์และรักความเป็นธรรม ต่างต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย
มาถึงวันนี้ กลับมาปลุกปั่นเอาความรักชาติรักสถาบันอย่างบ้าคลั่งมาเป็นเครื่องมือผลักดันตัวเองขึ้นสู่เวทีอำนาจ
คุณ น้านิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนเล่าเอาไว้ตอนหนึ่ง (มติชนสุดสัปดาห์ 2-8 ตุลาคม 2552) ที่ตรงกับใจแม่ จนอยากจะไปกราบแกสักคราว่า ...เมื่อนักการเมืองจนแต้ม ไม่รู้จะประคองตัวให้อยู่ในอำนาจต่อไปได้อย่างไร เขามักจะปลุกกระแสชาตินิยม ...ใช่แต่ชาตินิยมจะมอบสาวกให้จำนวนมากเท่านั้น ยังมักไม่ค่อยมีใครกล้าขัดขวางเสียด้วย เพราะเกรงจะถูกมองว่าไม่รักชาติ อันเป็นบาปอย่างหนักของรัฐประชาชาติ ชาตินิยมจึงเป็นบันไดเลื่อนสำหรับผู้แสวงหาอำนาจทางการเมืองเสมอ..
...แต่ ชาตินิยมนั้นนอกจากทำให้สติปัญญาแคบลงแล้ว ยังทำให้ทางเลือกเชิงนโยบายแคบลงด้วย หรือเพราะสติปัญญาแคบลง จึงทำให้ทางเลือกเชิงนโยบายแคบลงตามไปด้วยก็ตาม จึงมักนำชาติไปสู่จุดอับจนที่หาทางออกไม่เจออยู่เสมอ...
สำหรับแม่ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 33 ปีก่อน แล้วกลับเจ็บปวดกว่าเดิมที่ลูกแมวน้อยๆ ที่เคยวิ่งพล่านหนีตายอยู่ในธรรมศาสตร์ วันนี้กลับกลายเป็นเสือชราผู้คลั่งชาติ และต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อรักษารัฐธรรมนูญเผด็จการที่ไม่เห็นหัวคนระดับล่างของคนอย่างแม่ และพี่ๆ น้องๆ อีกหลายสิบล้านคนที่อยู่ตามบ้านนอกคอกนา ลูกว่าเราควรจะทำอย่างไรกับคนเทือกนี้ดี?
หน้า 11
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pol02041052§ionid=0133&day=2009-10-04
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น