วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

33 ปีที่ลูกแมวน้อยๆ หายไป

วันที่ 04 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11530 มติชนรายวัน


33 ปีที่ลูกแมวน้อยๆ หายไป





ลูก รัก แม้จะดึกดื่นมากแล้ว แม่ก็ยังข่มตาให้หลับไม่ลง คืนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ทั้งลูกทั้งหลานเหลน ต่างก็มานอนระเกะระกะอยู่รอบๆ ตัวแม่ เห็นแล้วก็อบอุ่นทีเดียว โดยเฉพาะเจ้าตัวน้อยๆ ที่นอนฟังเรื่องราวต่างๆ นัยน์ตาแป๋วมาตั้งแต่หัวค่ำ แต่แล้วก็ผล็อยหลับไปก่อน แทนที่จะมานอนเป็นเพื่อนย่ายาย ก็กลายเป็นมาหลับเป็นเพื่อนซะมากกว่า

เราทั้งหยอกล้อและคุยกันด้วย สารพัดเรื่อง ย้อนรอยไปตั้งแต่ลูกๆ ยังเป็นเด็กและเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น แต่ในที่สุด ทั้งลูกทั้งหลานต่างก็หลับไปก่อน สามคนหนุนตักแม่ อีกสี่ห้าหนุ่มสาว นอนสลับหัวหางกันอยู่ในห้องรับแขกนั่นเอง

แม่เฝ้า มองลูกๆ หลานๆ แต่ละคนแล้วก็ใจหาย อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หรือ 33 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ลูกๆ กำลังเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นและเพิ่งจะเข้าเรียนในช่วงมัธยมปลาย

นาน มาแล้วที่เคยรู้สึกว่าเป็นแม่ที่โชคดี เพราะเผอิญไม่มีลูกคนใดคนหนึ่งตกอยู่ในชะตากรรมโหดร้ายของนิสิตนักศึกษาใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีสภาพเหมือนกับปิดประตูตีลูกแมว ไม่ให้มีหนทางหลุดรอดออกไปได้แม้แต่ตัวเดียว

การปิดประตูตีลูกแมวใน วันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีสภาพเช่นเดียวกับการทำสงครามขนาดย่อม แม่ยังจำได้ ขณะที่ฝ่ายซึ่งรายล้อมอยู่รอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีอาวุธสงครามครบมือ ทั้งจรวดทำลายรถถังและปืนกลเอ็ม 16 ปืนสั้นยาวอีกหลายสิบกระบอกที่ขนมารบรากับลูกแมวน้อยๆ นักศึกษาที่มีแต่มือเปล่า ซึ่งต่างก็มีอาการตัวสั่นงันงก และบ้างก็วิ่งพล่านอยู่ภายในมหาวิทยาลัยอย่างไม่รู้ชะตากรรม

แต่แล้ว ภาพของความตายอันโหดร้ายทารุณก็เกิดขึ้น ศพนักศึกษานับสิบนับร้อยคนถูกสังหารอย่างทารุณอยู่บนสนามหลวงและภายในอาคาร เรียนต่างๆของมหาวิทยาลัย ด้วยข้อหาที่ได้รับการปลุกปั่นจากบุคคลที่เรียกว่า "ประชาชนผู้รักชาติและรักสถาบัน" ร่วมกับ "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ซึ่งนำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารว่า นักศึกษาเหล่านี้สะสมอาวุธสงคราม และนักศึกษาบางส่วนเป็นคนเวียดนาม

"กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" เหล่านี้ใช้เวลาปลุกปั่นใส่ร้ายนักศึกษาที่มีอุดมการณ์อันบริสุทธิ์ล่วงหน้า มาเป็นเดือนๆ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นคนญวน แต่หลังการไล่ล่าสังหารเด็กเล็กจบลง เพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร ก็พบว่า สิ่งที่ใส่ร้ายลูกแมวน้อยๆ ทุกข้อกล่าวหานั้นล้วนแต่ไม่เป็นความจริง เพราะไม่พบอาวุธใดๆ ไม่มีคอมมิวนิสต์ และไม่มีคนญวน มีแต่ลูกหลานคนที่มีพ่อมีแม่เป็นคนไทยแท้ๆ แสดงว่า ที่ตายก็ตายไปฟรีๆ ที่ยังรอดอยู่ก็หนีเตลิดเปิดเปิงเข้าป่าไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทย

ที่น่าสลดใจก็คือ นักศึกษาที่หนีรอดกลับออกมาได้ส่วนหนึ่งกลายเป็นรัฐมนตรี,นักการเมือง, นักวิชาการ, อาจารย์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนหนึ่งในกลุ่มนี้กลายเป็นนักปลุกระดมใส่ร้ายเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเอง โดยอ้างว่ารักชาติรักสถาบันอย่างบ้าคลั่ง เช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยถูกกล่าวหาด้วยข้อหาเดียวกันเมื่อ 33 ปีที่แล้ว

และ ที่กลับตาลปัตรเหมือนหน้ามือเป็นหลังเท้าก็คือ นักเคลื่อนไหวที่อ้างว่ารักชาติรักสถาบันมากกว่าใคร กลับเรียกร้องให้ทำลายรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยและช่วยสนับสนุนการทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ นำประเทศกลับไปสู่ระบอบเผด็จการทหารอันเก่าแก่โบร่ำโบราณ ดังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

เพราะคนเหล่านี้ สมัยที่ยังเป็นลูกแมวน้อยๆ ที่บริสุทธิ์และรักความเป็นธรรม ต่างต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย

มาถึงวันนี้ กลับมาปลุกปั่นเอาความรักชาติรักสถาบันอย่างบ้าคลั่งมาเป็นเครื่องมือผลักดันตัวเองขึ้นสู่เวทีอำนาจ

คุณ น้านิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนเล่าเอาไว้ตอนหนึ่ง (มติชนสุดสัปดาห์ 2-8 ตุลาคม 2552) ที่ตรงกับใจแม่ จนอยากจะไปกราบแกสักคราว่า ...เมื่อนักการเมืองจนแต้ม ไม่รู้จะประคองตัวให้อยู่ในอำนาจต่อไปได้อย่างไร เขามักจะปลุกกระแสชาตินิยม ...ใช่แต่ชาตินิยมจะมอบสาวกให้จำนวนมากเท่านั้น ยังมักไม่ค่อยมีใครกล้าขัดขวางเสียด้วย เพราะเกรงจะถูกมองว่าไม่รักชาติ อันเป็นบาปอย่างหนักของรัฐประชาชาติ ชาตินิยมจึงเป็นบันไดเลื่อนสำหรับผู้แสวงหาอำนาจทางการเมืองเสมอ..

...แต่ ชาตินิยมนั้นนอกจากทำให้สติปัญญาแคบลงแล้ว ยังทำให้ทางเลือกเชิงนโยบายแคบลงด้วย หรือเพราะสติปัญญาแคบลง จึงทำให้ทางเลือกเชิงนโยบายแคบลงตามไปด้วยก็ตาม จึงมักนำชาติไปสู่จุดอับจนที่หาทางออกไม่เจออยู่เสมอ...

สำหรับแม่ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 33 ปีก่อน แล้วกลับเจ็บปวดกว่าเดิมที่ลูกแมวน้อยๆ ที่เคยวิ่งพล่านหนีตายอยู่ในธรรมศาสตร์ วันนี้กลับกลายเป็นเสือชราผู้คลั่งชาติ และต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อรักษารัฐธรรมนูญเผด็จการที่ไม่เห็นหัวคนระดับล่างของคนอย่างแม่ และพี่ๆ น้องๆ อีกหลายสิบล้านคนที่อยู่ตามบ้านนอกคอกนา ลูกว่าเราควรจะทำอย่างไรกับคนเทือกนี้ดี?


หน้า 11

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น